การให้เหตุผล
การให้เหตุผลแบ่งได้ 2 แบบดังนี้
1.
การให้เหตุผลแบบอุปนัย
2. การให้เหตุผลแบบนิรนัย
1. การให้เหตุผลแบบอุปนัย การให้เหตุผลแบบอุปนัย
เป็นการให้เหตุผลโดยอาศัยข้อสังเกตหรือผลการทดลองจากหลาย ๆ ตัวอย่าง
มาสรุปเป็นข้อตกลง หรือข้อคาดเดาทั่วไป
หรือคำพยากรณ์ ซึ่งจะเห็นว่าการจะนำเอาข้อสังเกต
หรือผลการทดลองจากบางหน่วยมาสนับสนุนให้ได้ข้อตกลง หรือ ข้อความทั่วไปซึ่งกินความถึงทุกหน่วย
ย่อมไม่สมเหตุสมผล
เพราะเป็นการอนุมานเกินสิ่งที่กำหนดให้ ซึ่งหมายความว่า
การให้เหตุผลแบบอุปนัยจะต้องมีกฎของความสมเหตุสมผลเฉพาะของตนเอง นั่นคือ
จะต้องมีข้อสังเกต หรือผลการทดลอง หรือ
มีประสบการณ์ที่มากมายพอที่จะปักใจเชื่อได้
แต่ก็ยังไม่สามารถแน่ใจในผลสรุปได้เต็มที่
เหมือนกับการให้เหตุผลแบบนิรนัย
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการให้เหตุผลแบบนิรนัยจะให้ความแน่นอน
แต่การให้เหตุผลแบบอุปนัย
จะให้ความน่าจะเป็น
ตัวอย่างการให้เหตุผลแบบอุปนัย เช่น
เราเคยเห็นว่ามีปลาจำนวนมากที่ออกลูกเป็นไข่เราจึงอนุมานว่า
"ปลาทุกชนิดออกลูกเป็นไข่"
ซึ่งกรณีนี้ถือว่าไม่สมเหตุสมผล
ทั้งนี้เพราะ ข้อสังเกต หรือ ตัวอย่างที่พบยังไม่มากพอที่จะสรุป
เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วมีปลาบางชนิดที่ออกลูกเป็นตัว เช่น
ปลาหางนกยูง เป็นต้น
โดยทั่วไปการให้เหตุผลแบบอุปนัยนี้ มักนิยมใช้ในการศึกษาค้นคว้าคุณสมบัติต่าง ๆ
ทางด้านวิทยาศาสตร์ เช่น
ข้อสรุปที่ว่า
สารสกัดจากสะเดาสามารถใช้เป็นยากำจัดศัตรูพืชได้
ซึ่งข้อสรุปดังกล่าวมาจากการทำการทดลอง ซ้ำ ๆ กันหลาย ๆ ครั้ง
แล้วได้ผลการทดลองที่ตรงกันหรือในทางคณิตศาสตร์จะใช้การให้เหตุผลแบบอุปนัย ในการสร้างสัจพจน์ เช่น เมื่อเราทดลองลากเส้นตรงสองเส้นให้ตัดกัน เราก็พบว่าเส้นตรงสองเส้นจะตัดกันเพียงจุด ๆ
เดียวเท่านั้น
ไม่ว่าจะทดลองลากกี่ครั้งก็ตาม
เราก็อนุมานว่า
"เส้นตรงสองเส้นตัดกันเพียงจุด ๆ เดียวเท่านั้น" อ่านเพิ่มเติม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น